Special Capter : ทะเล(าะ)

ทะเล(าะ)



1

แม่งจะไม่ให้กูได้พักสมองสักหน่อยหรอ

นึกแล้วก็หงุดหงิด กลับมาเหนื่อยๆแทนที่จะได้พักผ่อนต้องมาเจออะไรวะ นี่กูกำลังสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตมิติไหนเนี่ย ระบบถามคำตอบคำมันปิดตรงไหน แดกข้าวจะไม่ลงอยู่แล้ว กูไม่ได้มานั่งในเกรย์ฮาวให้มึงมารันระบบแฟนขี้น้อยใจนะเว้ย

“เป็นไร”
“ไม่ได้เป็นไร”
“มึงเป็น”
“เปล่า”

จ้ะ ไม่เป็นก็ไม่เป็นจ้ะ สุดสัปดาห์นี้อุตส่าห์ว่างจากงานที่เฮ้าส์ อุตส่าห์หาเวลามาเจอมึงเนี่ย แล้วมึงเป็นอะไรทำไมไม่พูด เอาแต่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด เขี่ยเส้นสปาเก็ตตี้้ไปๆมาๆทั้งที่ปกติอาหารมาก็คือกินไม่เคยรอ อาการเริ่มชัดตั้งขับรถไปรับที่บ้านแล้ว ชวนคุยอยู่ดีๆก็เงียบไปแล้วก็เปิดโหมดถามคำตอบคำ พอถามอะไรก็ตอบกลับมาส่งๆ

“อยากกินอะไร”
“ไม่รู้”
“ดูหนังมั้ย”
“ไม่เอา”
“แล้วอยากทำไร”
“แล้วแต่”

วนลูปนรก

ตั้งแต่กลับมาจากอเมริกาผมก็ทำงานอยู่ที่โปรดักชั่นเฮ้าส์แถวลาดพร้าว กำกับหนังสั้นบ้าง โฆษณาบ้าง ไปเรื่อยตามแต่จะมีงานมาป้อน ใจจริงอยากทำหนังใหญ่แต่ยังไม่มีจังหวะ แล้วงานคือเยอะ เยอะในระดับที่เสาร์อาทิตย์ก็ต้องไปออกกอง ก็รู้ว่าจอมมันคงน้อยใจ กลับมาไทยได้ 2 เดือนแล้วแต่แทบไม่ได้เจอกันเลย

จนมาสัปดาห์นี้นี่แหละที่เร่งเคลียงาน ว่าจะพาไปกินข้าวดูหนังนั่งตากแอร์ในพารากอนให้มันชุ่มปอดสักหน่อย แต่เหมือนไอ้เตี้ยมันจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือ

อยากเจอจะตายแล้วทำไมทำหน้างี้วะ

สุดท้ายก็นั่งเขี่ยๆข้าวเป็นแฟนมัน เขี่ยไปสักชั่วโมงก็เลยเรียกเช็คบิลเพราะอาหารแม่งไม่เหลือหน้าตาน่ารับประทานอีกแล้ว เดินดุ่มๆกันไปชั้น 5 เผื่อว่าการนั่งดูหนังแดกป๊อปคอร์นจะช่วยให้มันมีสติอะไรกลับมาบ้าง

“ดูไร Appwar มั้ย?
“ไม่เอา”
“งั้นดูหมีพูมั้ย มึงน่าจะชอบ”
“ไม่ดู บอกแล้วจอมไม่อยากดูหนัง พามาทำไม”

ผมชักหงุดหงิด

ผู้ชายสองคนยืนโง่ตรงป้ายแอลอีดีที่บอกรอบและเวลาบนชั้นโรงหนังในเวลาบ่ายสามโมง โง่จริงเพราะขนาดมีเวลามีรอบหนังชัดเจน ผมยังไม่รู้เลยจะดูอะไร และการที่จอมไม่ให้ความร่วมมือยิ่งทำให้ผมดูโง่ขึ้นไปอีก

“เอาไงหรือกลับบ้าน”

ไม่ตอบ

“เออ งั้นก็กลับนะ”
“ไม่กลับ”
“แล้วจะไปไหน”

เงียบ

ปกติจอมไม่ใช่คนประเภทงี่เง่านะ ห่างไกลเลยแหละ ไม่มีเลยไอ้ง้องแง้งงุงิแบบที่พวกผู้หญิงชอบทำ แต่วันนี้มันเป็นอะไรของมัน เมนส์มาหรอว่ะ รู้แหละว่าต้องมีอะไรสักอย่างแต่ไม่พูดใครมันจะไปรู้ ยิ่งยืนโง่ๆตรงป้ายแบบนี้คนอื่นก็มองว่าสองคนนี้มันปกติรึเปล่า ทำไมต้องทำให้ดูเป็นตัวตลกด้วย โคตรไม่เข้าใจ

สุดท้ายเลยเดินไปนั่งตรงโซฟาหน้าโรง ดูคู่อื่นเขากระหนุงกระหนิงกินป๊อปคอร์น เขาป้อนขนมกันเรานั่งงมมือถือ คู่เขาจับมือแต่เรากลับขยับหนี เหอะ

เย็นไว้หนึ่งเดียว

หายใจเข้าหายใจออกแล้วลองคุยกับน้องอีกที ลองพูดเพราะๆเนอะ แบบที่น้องชอบ ลองดูก่อน ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร

“จอมครับ”
“ว่า”
“เป็นอะไรครับ พี่ทำไรให้เราไม่พอใจรึเปล่า”
“ไม่”
“ไม่ได้ทำอะไรหรอ”
“ไม่รู้”

สงสัยสิ่งที่กูใช้จะไม่ใช่ความพยายาม ไอ้สัส

“จอมมึงจะยังไง โน้นก็ไม่เอานี่ก็ไม่เอา กูจะรู้มึงมั้ย แล้วให้มานั่งโง่ๆไรตรงนี้วะ”
“จำไม่ได้จริงหรอ”

จอมพูดอะไรที่นอกเหนือจากไม่รู้ อืม ไม่เอา เปล่า แต่แม่งก็ยังไม่เมคเซ้นอยู่ดี

ผมจำได้แต่ไม่ได้ตกลง

ย้อนกลับไปวีคก่อนๆ จอมเคยบ่นอยากไปทะเล ตอนนั้นก็คุยกันซะดิบดีว่าจะไปกระบี่กันสองคน คุยไปเรื่อยตั้งแต่จองเรือ จองที่พัก จะยืมกีต้าไอ้โอไปด้วย ขัดสนิมที่เคยเล่นตอนสมัยปีหนึ่งสักหน่อย พูดโม้โอ้อวดไปแล้วแหละว่าเตรียมฟังเพลงหยุดได้เลย พี่บุรินทร์ก็พี่บุรินทร์เหอะ เดี๋ยวมึงเจอพี่เดียว ไปนั่งกันริมทะเลแบบที่คู่รักเขาทำกัน แค่คิดก็คงสนุกแล้ว ตอนคุยมันก็ตาเป็นประกาย รู้ว่าอยากไปเพราะมันแย๊บๆมาทุกรอบที่คุยกัน

แต่เอาเข้าจริงพอทำงานแล้ว เสาร์อาทิตย์ก็อยากตอแหลแบบชาวอินโทรเวิร์ส นอนอยู่บ้านกินอะไรง่ายๆ ให้ร่างกายได้สัมผัสกับการนอนครบ 8 ชั่วโมง ไม่อยากวุ่นวายอะไรให้มันเหนื่อย

“งั้นกลับบ้านก็ได้นะ จอมเหนื่อยแล้ว” จอมมันพูดตัดบทพลางลุกขึ้น แล้วก็ยืนจิ้มโทรศัพท์ไม่มองมาทางผมเลย

บรรยากาศตอนนี้คือตึงแบบโคตรตึง ถ้าส่งมันกลับบ้านก็คงรีบขึ้นห้อง ส่วนผมก็เสียเวลาวันเสาร์อันมีค่าไปกับการฝ่ารถติดมาพารากอนฟรีๆแล้วหลังจากนั้นก็ได้นอนโง่ๆที่คอนโดแบบชาวอินโทรเวิร์สสมใจแต่พ่วงด้วยการทะเลาะกับแฟน เจริญ

“เออ กูก็เหนื่อย”
“เหนื่อยมากเลยดิ”
“อย่าประชด”
“ไม่ได้ประชด”
“งั้นก็อย่างี่เง่าได้มั้ย”

เราทะเลาะกันบ่อย ผมรู้ข้อนี้ดีแต่มันเป็นสีสันนะ ยกตัวอย่างเช่นจอมไม่ชอบให้ทิ้งขยะเรี่ยราดซึ่งบางทีผมก็ตั้งใจทิ้งไว้เพราะเวลามันแว้ดๆก็รู้สึกดีไม่น้อยที่มันคอยใส่ใจ คู่เรามันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตีกันเป็นพิธีพอหอมปากหอมคอ ผมว่าอันนี้น่ารัก ชอบ

แต่ไม่เคยทะเลาะกันแบบนี้เลยสักครั้ง

ไม่เคยบอกว่าจอมมันงี่เง่าเพราะจอมมันโคตรมีเหตุผล ไม่เคยเห็นมันทำตัวง้องแง้งเพราะขนาดผมไปอเมริกาเป็นปียังรอมาได้โดยไม่เคยอิดออด เราไม่เคยทำร้ายจิตใจกันเลยเพราะเรารู้ว่าที่ผ่านมาจิตใจพวกเรามันก็ไม่ได้แข็งแรงกันขนาดนั้น แต่คงเพราะความเคยชินในแต่ละวันบางทีมันก็เลยหลุดๆกันไปบ้าง อย่างที่พูดไปเมื่อกี้ หลุดจริงๆ

จอมหันหน้ามาถอนหายใจเฮือกใหญ่ พวกเราเหมือนหลุดออกมาอีกโลกจากผู้คนในละแวกนั้น ตอนนี้มนุษย์นับพันนับหมื่นกำลังใช้วันเสาร์อย่างมีความสุขแต่กลับมีสองคนตรงนี้ที่โรงหนังพารากอนชั้น 5 ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยืนอึดอัดกันจนพอใจสุดท้ายจอมมันก็เดินนำไปที่ลิฟฝั่งลานจอดรถ


2

“แวะซื้อของไปให้ม๊ามึงหน่อยนะ”
“ไม่ต้อง เข้าบ้านเลย”
“ก็กูจะซื้อ มึงไม่อยากลงก็รอในรถ”
“แป๊ะ จอมจะกลับบ้าน”

บอกคำเดียวว่าเหนื่อย

สุดท้ายผมก็ไม่สนคำบ่นของจอม ตัดสินใจเลี้ยวเข้าวิลล่าแถวนั้น อยากจะซื้อพวกขนมพวกน้ำไปฝากคุณแม่หน่อย ทุกวันนี้เขาก็อุตส่าใจอ่อนให้พาลูกเขามาเที่ยวแล้ว ต้องเอาใจเขานิดนึง ยังไงที่บ้านก็ยังถือว่าเป็นที่บ้าน

“มึงรอในรถไป”
“จอมจะเรียกแท็กซี่จากตรงนี้เองแล้วกัน” มันพูดทั้งๆที่ผมยังไม่ทันจะจอดรถได้นิ่งสนิทดี

วันนี้มันวันอะไร เสาร์เหี้ยแห่งชาติถูกมั้ย ทำไมมันจะอะไรนักหนาว่ะ กะอีแค่ทะเลมันจะรอไม่ได้เลยหรอ เออ อยากไปมากใช่มั้ยมึงอะ ทะเลควาย

หัวร้อน

ผมเหยียบคันเร่งแล้วเลี้ยวออกจากลานจอดรถทันที จอมมันคงงงเลยทำหน้าเลิกลั่กหันซ้ายทีขวาที เลี้ยวขวาออกทางเบี่ยงไปน่าจะวิ่งเข้าเส้นไประจวบ เออ กระบี่ไม่ต้องไปแม่งแล้ว ไปหัวหินนี่แหละใกล้ดี เหยียบ 2-3 ชั่วโมงน่าจะถึง

“แป๊ะจะไปไหน”
“อยากไปทะเลไม่ใช่ไง?
“จอมจะกลับบ้าน นี่มันเย็นแล้ว”
“เรื่องมึง”

ตัวเตี้ยข้างๆหันมาค้อนอย่างแรง ปากก็เอาแต่บอกจะลงๆแต่ผมก็ทำหูทวนลมไม่ฟังมัน รำคาญ ตามใจแม่งทั้งวันแล้ว เอาใจยากนักก็ลองมาตามกูบ้างดิ

ผมเปิดวิทยุแล้วเอาสายต่อเข้ากับมือถือเพื่อเล่นเพลงในสปอติฟายแก้ง่วง กดเข้าเพลลิสของไอ้แฮมที่มันเคยแชร์ไว้ซึ่งเป็นพวกเพลงอินดี้ช่วงอัลเทอเนทีฟ ไล่มาตั้งแต่ ฝากทีของแทททูอัลบั้มแรก ชั่วโมงต้องมนต์ฟรายเดย์ จนถึงเพลงเฉพาะกลุ่มอย่าง Funky wah wah เพลงดีตามสไตล์เด็ก FAT RADIO สมัยโน้น

ขับมาได้ประมาณชั่วโมงนึงจอมที่ดูกระฟัดกระเฟียดก็นิ่งลง คงรู้ว่าทำอะไรไปก็ไม่เป็นผลเพราะตอนนี้รถอยู่เลนขวาสุดแต่ถ้ามันบ้าเปิดประตูรถกลางถนนก็อีกเรื่อง พอความเงียบเข้าปกคลุม พวกเราเลยให้เพลงในเพลลิสคุยกัน


อยู่ตรงนั้นเธอคิดถึงฉัน มากเท่าไร
อยู่ตรงนี้เธอรู้ไว้เลยว่า คิดถึงเธอจนล้นหัวใจ
ได้โปรดเธอจงมั่นใจ ว่าฉันคนนี้รักเพียงแต่เธอ
-
ไม่เคยจะห่างกัน ของ Squeeze Animal


ผมก็ลองคลอตามไปเบาๆ เสียงก็ไม่ได้ดีสู้พี่วินสควีซแอนิมอลหรอกแต่บรรยากาศมันก็พอได้ อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่านั่งเงียบๆ แล้วเนื้อเพลงมันก็เกือบๆจะพอดิบพอดี อยู่ตรงนี้ ใกล้แค่นี้ แต่มึงไม่พูดด้วยแบบนี้ คิดถึงฉิบหาย

บรรยากาศเหมือนจะดีขึ้นนิดนึง จอมมันวางมือถือ มองทาง แล้วก็รู้ว่ามันน่าจะแฮปปี้ตอนที่มันเอื้อมมือมาปรับโวลุ่มเพลงให้ดังขึ้นอีก 1 ระดับ

ท้องฟ้าเริ่มเข้าสู่สภาวะพลบค่ำ ไล่เฉดจากดวงอาทิตย์สีส้มแล้วกระจายออกเป็นสีเทา เมฆเรียงตัวกระจายๆลอยละล่องประดับตกแต่งให้ท้องฟ้าไม่ว่างจนเกินไป คงสภาวะสวยงามไว้ครู่เดียวก่อนจะค่อยมืดสนิทลง

สัมผัสได้ว่าคนข้างๆขยับยุกยิก รอยยิ้มที่พยายามหันไปหาความมืดสะท้อนกลับมาเด่นชัดบนกระจก มันคงลืมว่าฟ้ามืดสนิทแล้ว

แสงสีแดงจากการเหยียบเบรกรถและไฟสีส้มของถนนข้างทางเรียงรายอยู่รอบตัว ตรงไหนไกลเกินตาจะโฟกัสก็เปลี่ยนเป็นภาพโบเก้สีสวย แอร์เบอร์สอง ลมเบอร์หนึ่ง และเพลงคู่กันของสครับถูกบรรจุในรถที่เคลื่อนตัว 80 กิโลเกตรต่อชั่วโมง  

ช้าๆง่ายๆ เหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

“หิวยัง”

ผมเสี่ยงลองถามดู

“จอมยังไม่หิว แป๊ะหิวมั้ย ขับมาตั้งไกล ตอนกลางวันก็กินไปนิดเดียว”

คุ้มที่เสี่ยงว่ะ

ผมกับจอมเลยต่อบทสนทนาง่ายๆอย่างพวกหิวมั้ย หนาวมั้ย คล้ายๆว่าเลี่ยงการปะทะกันทางอารมณ์ ก็ชี้นกชี้ไม้อะไรไปเรื่อย พอขับไปจนใกล้หัวหินก็เลือกเช่าห้องพักแถวๆริมทะเล คงเพราะเป็นโลว์ซีซั่นเลยมีห้องว่างพอดี เนื่องจากพวกเราไม่มีสัมภาระอะไรเลย พอได้กุญแจเลยเดินไปทางทะเลทันที

ไม่มีแผน ไม่มีกีต้า ไม่มีอะไรเลย มีแค่กุญแจรถ กระเป๋าตังค์ โทรศัพท์มือถือ แล้วก็คนข้างๆ

โผล่มาทะเลยามวิกาล แวะซื้อข้าวกล่องตรงเซเว่นก่อนจะนั่งลงบนหาดทราย ถอดรองเท้าผ้าใบกับถุงเท้าออกแล้ววางเอาไว้คู่กัน พอได้สัมผัสกับเม็ดทรายเย็นๆก็รู้สึกผ่อนคลายเหมือนที่เหนื่อยมามันซึมหายลงทรายไปหมดแล้ว


3

ความมืดกลืนกินทะเลจนเป็นสีดำสนิท ไฟดวงเล็กๆจากโรงแรมส่องแสงให้พอคลำเส้นทาง แสงจันทร์ก็ช่วยอีกแรงแต่เหมือนจะทะเลาะกับเมฆเลยช่วยไม่ได้เต็มที่ ผมนั่งบนชายหาดกับจอม วันนี้มันเหนื่อยเพราะคนข้างๆนี้แท้ๆ แต่พอมองไปที่ใบหน้าที่คุ้นเคยก็ไม่อยากจะเอ่ยอะไรที่ชวนเสียบรรยากาศ

ใบมือผมมีเบียร์อยู่กระป๋องนึง ส่วนจอมกินฟูลมูนเพราะมันไม่กินเบียร์

“ขอโทษนะ” จอมพูด

คำว่าขอโทษค่อยๆโดนเสียงคลื่นขโมยลงทะเลไป เรายังคงนั่งมองทะเลอย่างนั้น ผมก็ไม่รู้หรอกว่ารู้สึกยังไง แค่รู้สึกว่าตอนนี้กับตอนเที่ยงมันคนละอารมณ์กันเลย เหมือนพารากอนชั้น 5 ไม่เคยเกิดขึ้น และเราก็วาร์ปมานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อวาน

อารมณ์แปลกประหลาดของมนุษย์ วินาทีนึงก็อาจจะโกรธจนแทบบ้า วินาทีต่อมาก็อาจจะลืมเหตุผลที่โกรธไปหมดแล้ว ผมก็คงเหมือนกัน ไม่แน่ จอมก็คงด้วย

“หายบ้ายัง”
“อืม”

เพราะลมทะเลละมั้ง ผมของจอมเลยไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนทุกที

ไม่รู้หรอกว่าวันนี้ทำไมมันงี่เง่ากว่าปกติ ไม่รู้หรอกว่าทำไมวันนี้อารมณ์เสีย หรืออาจจะรู้แต่ลืม จะอะไรก็แล้วแต่ ทุกอย่างมันนำพวกเรามานั่งตรงนี้ ตากลมทะเลให้ตัวเหนียวเล่น ดื่มแอลกอฮอล์ให้ร่างกายอุ่น

“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบดูหนัง แต่จอมไม่อยากให้เราเจอกันแล้วนั่งเงียบๆ ถ้าอยู่ในโรงก็ต้องนั่งจ้องหน้าจออย่างเดียว อุตส่าห์ว่างเจอกันทั้งที อยากทำกิจกรรมอะไรด้วยกันมากกว่า แป๊ะเข้าใจจอมมั้ย ไม่งั้นก็หมดวันแบบไม่ได้คุยกันเลยนะ”

คงเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ทำให้จอมพูดอะไรแบบนี้ออกมา เมาแล้วพูดมากไง ไม่นานเสียงคลื่นก็ขโมยประโยคบอกเล่าของจอมจนหายลับไป

“ที่มานั่งตรงนี้มึงก็ไม่คุยไรกับกูนะ”
“นั้นสิ”
“รู้งี้น่าจะดูหมีพูเนอะ”
“อืม”

แล้วคลื่นก็พาบทสนทนาของเราจมหายไปอีกครั้ง

ผมกระดกเบียร์จนหมดกระป๋อง ส่วนฟูลมูนจอมเหลืออยู่ครึ่งขวด ผมเลื่อนมือจากกลุ่มผมย้ายมากุมมือเล็ก ติ๊ต่างว่าเรากำลังอยู่ในโรงหนัง มีทะเลกลางคืนถูกขึงฉายบนผ้าใบ ทรายเป็นเก้าอี้ฮันนีมูน นึกขึ้นได้ก็เอามือถือมาเปิดเพลงเพิ่มซาวแทรคให้กับค่ำคืนนี้ เจาะจงไปที่วงสครับ เลือกเพลงอาร์ตบาร์อย่างตั้งใจเพราะมั่นใจว่าเข้าบรรยากาศที่สุด

รสนิยมเพลงของพวกเราไม่ค่อยคล้ายกันเท่าไหร่ ผมฟังเพลงสากลแต่จอมมันฟังอะไรก็ไม่รู้ มั่วๆปนๆผสมๆทุกชาติ จุดตัดของพวกเราคือเพลลิสต์ของไอ้แฮม จอมมันร้องคลอไปกับเสียงแตกๆของลำโพงไอโฟน ผมก็ร้องผสานด้วยเข้าไปด้วย แม้จะผิดจังหวะ คร่อมคีย์ หรือเสียงหล่น เราก็ยังร้องกันไปแบบนั้น

เรานั่งซบกัน

“ถ้าไม่ชอบอะไรวันหลังก็บอก”
“อืม”
“อย่าตอบ อืม”
“รักนะ”
“กวนตีน”

ถามว่ารักจอมมั้ย ผมรักจอมมากเลยนะ ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนึงจะสามารถบอกเล่าให้มนุษย์รับรู้ได้ยังไง ลองนึกภาพคนที่ตัวเองรักที่สุดดูนะ ใครก็ได้ ผมอยากโม้ว่าให้คุณคูณสอง นั้นแหละความรักที่ผมมีให้จอม ไม่อยากให้คูณเยอะมากเดี๋ยวจะหาว่าโกหก แถมดูไม่สมจริง เอาสักสองกำลังดี

จอมเป็นเรื่องงี่เง่าที่ผมทนได้

ได้เห็นมันหลุดๆบ้างก็โอเค คนเราจะเพียบพร้อมอะไรขนาดนั้น แล้วที่มันเป็นบ้าเป็นบอแบบนี้คิดในแง่ดีก็เพราะมันเองก็รักผมไม่แพ้กัน จอมแบกรับอะไรหลายๆอย่าง ทั้งที่บ้าน ทั้งที่มหาลัย ไหนจะความฝัน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ไอ้เรื่องแบบนี้มันเข้าใจกันได้

ก็ให้อภัยมันในใจไปแล้วแหละ

ผมดึงจอมขึ้นมาจูบแบบไม่มีเหตุผล พอเป็นแฟนกันแล้ว บางทีเราก็ทำอะไรแบบไม่มีเหตุผล อยากจูบก็จูบ อยากกอดก็กอด อยากจับมือก็จับมือ มันไม่ใช่จูบที่ดูดดื่มอะไร เป็นแค่จูบไร้เหตุผลกับอารมณ์ตอนสี่ทุ่มยี่สิบ

หลังจากนั้นพักใหญ่ๆเราก็นั่งร้องเพลงอยู่ริมหาด พอเห็นจอมเริ่มเงียบก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงง่วงที่ได้แล้ว เห็นอย่างนั้นแล้วผมกับจอมเลยพากันเดินกลับเข้าไปนอนที่ห้องพัก จอมทิ้งตัวลงบนเตียงทันทีคงเพราะเหนื่อยจากอะไรหลายๆอย่าง ผมสอดตัวเองเข้ามาในผ้าห่มเช่นกัน

“ขอบคุณที่พามานะ”

จอมพูดแม้จะนอนหลับตาอยู่ แล้วจอมก็เงียบไปอีกครั้ง พอสัมผัสได้ถึงลมหายใจเป็นจังหวะคงที่ของอีกฝ่ายก็เป็นอันรู้กันว่าหลับไปแล้ว ผมดึงจอมเข้ามากอดอย่างถือวิสาสะ กอดมันแล้วก็นึกในใจว่าเรามากันไกลเหลือเกิน

เกือบๆปีแล้วที่คบกันมา นี่ยังไม่รวมที่เคยอยู่ด้วยกันที่บ้านอีก เรารักกันแล้ว แล้ววันนี้ก็ได้ลองทะเลาะกันด้วย ก็ได้ทำอะไรเหมือนคู่อื่นเขาแล้ว กอดมันให้แน่นอีกหน่อยเป็นการบอกมันทางอ้อมว่าหมั่นเขี้ยวแม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ตัว

จูบลงกลางหน้าผาก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นวันที่น่าจดจำในเชิงบวก แต่ผมกลับรู้สึกว่าวันนี้มันพิเศษ คงเพราะผมได้เป็นที่รองรับอารมณ์ของจอมผู้ที่ไม่ค่อยหล่อยให้อารมณ์หลุดออกจากการควบคุม จอมได้เป็นตัวเองบ้าง เอาแต่ใจบ้าง ไม่น่ารักแบบนี้มันก็ดีไปอีกแบบ

มันก็เป็นแค่เด็กอายุ 22 คนนึง

ได้รักกัน ได้อยู่ด้วยกัน เติบโตไปด้วยกัน เป็นความรักแบบที่ผมรู้สึกว่ามันพิเศษ เรียบง่ายแต่พิเศษ คืนนี้ผมนอนกอดจอม หลับตาลงก็ยังได้รับสัมผัสจากคนตรงหน้า ตื่นมาจอมมันคงจัดแจงขอเคลียร์ตามนิสัยของมัน ผมไม่ชอบไอ้การขอเคลียร์ของมันเท่าไหร่ เพราะมันจะไล่ทุกประเด็นที่เราทะเลาะกันแล้วก็มาหาข้อสรุปว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ผมไม่รู้หรอกว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ ให้จำก็จำไม่ได้

รักมันไปแบบนี้น่าจะพอแล้ว ผมบรรจงจูบราตรีสวัสดิ์ลงบนกลุ่มผมโดยหวังให้มันนอนฝันดี รักเสมอ














  







ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม