World War lll

1


20:12 นาฬิกา ของเย็นวันพฤหัสบดีที่ 14 เดือน พฤศจิกายน ปี 210X ประเทศเกาหลีใต้

หลังจากอเมริกาประกาศเป็นพันธมิตรกับเกาหลีและฝั่งจีนตกลงจับมือกับรัสเซีย สงครามโลกครั้งที่สามก็ได้ดำเนินมาตลอด 5 ปี

ไม่ใช้ดาบ ไม่ใช้ปืน ไม่ใช้ความรุนแรง

พวกเราใช้สติปัญญาแทนอาวุธและข้อมูลแทนลูกกระสุน การล่วงรู้ความลับหรือข้อมูลเพียงเล็กน้อย ผนวกเข้ากับการตัดสินใจจากผู้มีอำนาจ คนนับพันล้านก็สามารถหายไปได้ในพริบตา ง่ายซะยิ่งกว่าการลั่นไกปืน

ตัวผมรู้ดีเพราะผมเองก็เป็นคนดูแลข้อมูลที่สามารถก่อให้เกิดสงครามนี้กับมือ ในกระทรวงสีขาวสะอาดตาที่ด้านในมีเพียงสีดำคล้ำของจิตใจคน แต่งแต้มเอาไว้จนเน่าเฟะเละทะเหมือนซากของอวัยวะที่หุ้มด้วยเปลือกผิวหนังที่สวยงาม ราวกับแอปเปิ้ลที่ราคาแพงแต่ด้านในถูกชอนไชไม่เหลือชิ้นดี

“จีฮุน”

“คิ้วขมวดอีกแล้ว”

ในห้องทำงานขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ส่องสว่างด้วยไฟฟลูโอเรสเซ้นและคอมพิวเตอร์สามสี่ตัวที่ถูกเปิดค้างไว้ ห้องนี้ทุกอย่างเหมือนหนังไซไฟตอนผมเด็กๆไม่มีผิด ห้องที่เก็บข้อมูลอะไรทำนองนั้น

แดเนียลเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้องนี้กับผม อีกนัยนึงคงจะเรียกว่าคู่หูก็คงได้ พวกเราทำงานซัพพอร์ตกันและกัน ช่วยดูแลข้อมูลสำคัญ แม้จะเพียงเศษข้อมูลแต่มันก็อาจะนำไปสู่หายนะครั้งใหญ่

เจ้าหน้าที่รักษาดูแลข้อมูล

ชื่อเชยๆที่ถูกตั้งมาไม่ให้สะดุดตา แท้จริงแล้วตำแหน่งนี้ถูกแบ่งให้ทำงานเป็นกะจากคนหลายๆกลุ่ม เราจะรู้ข้อมูลเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น จับคู่กันตรวจเช็คความถูกต้อง ติดตามข้อมูลใหม่ๆ รวมถึงการแฮ๊กอะไรเล็กๆน้อยๆที่ไม่ผิดกฎหมายจนเกินไป

ผมเคยเป็นคนจัดการข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับผู้นำของประเทศจีนและข้อมูลส่วนนั้นมีค่ายิ่งกว่าทอง ตัวเลขในบัญชีทางการเงินของผู้นำประเทศก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองจนทำให้บางมณฑลที่จีนเป็นเพียงอดีตในประวัติศาสตร์ ตอนนั้นเองที่ผมเข้าใจแล้วว่าข้อมูลสามารถฆ่าคนได้รวดเร็วกว่าปืนโข





“ลองมานั่งจ้องคอมเองมั้ยล่ะ”

แดเนียลมองมาแล้วทำท่าหัวเราะ ตอบกลับมาเป็นภาษาจีนอะไรสักอย่างที่ผมก็แปลไม่ออก แดเนียลเป็นลูกครึ่งเกาหลีสิงคโปร์ ทำงานดูแลข้อมูลกับผมมา 3 ปีแล้ว พูดภาษาจีน เกาหลี และอังกฤษได้คล่องแคล่ว จะว่าเก่งก็เก่งติดที่ชอบลอยชายอะไรไปเรื่อย เป็นมนุษย์ที่มีความเป็นมุษย์เหลือเกิน

“ฟังไม่ออก”

“บอกว่าทำไมจีฮุนน่ารักจัง”

“ไปตาย”

รู้หรอกว่าไม่ได้ชม ยังแปลกใจทำไมคนที่เล่นๆแบบมันถึงได้มาทำงานสุดแสนละเอียดยิบแบบนี้ คนแบบนี้น่าจะเหมาะกับงานประเภทพาหมาไปเดินเล่น ไม่ก็พวกครูโรงเรียนอนุบาล อะไรที่มันห่างไกลกับคำว่า ข้อมูล

“กลับบ้านได้แล้วมั้ง ดึกแล้ว” แดเนียลบุ้ยปากไปทางนาฬิกาบนผนังห้อง

หันไปมองนาฬิกาและเวลาล่วงเลยมานานแล้ว ผมพยักหน้าแบบเหนื่อยๆ พับหน้าจอโน้ตบุคตัวเองลง หยิบกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้านก่อนจะพบว่าอีกคนสะพายกระเป๋าเตรียมกลับตั้งนานแล้ว

“พรุ่งนี้อย่ามาสาย รีบเข้ามาจัดการระบบด้วย รู้ใช่มั้ยว่าค้างตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

“ครับๆๆ”

“พรุ่งนี้กะบ่ายนะ”

“รู้แล้ว~

แดเนียลตอบแบบกวนๆขอไปทีก่อนจะผลักประตูกระจกออกจากห้อง พวกเราพากันออกจากห้องสีขาวไร้วิญญาณเพื่อกลับบ้าน โดยหวังว่าจะพบเศษเสี้ยวของชีวิตที่ใดที่หนึ่งระหว่างทาง

………………………………..


เพราะสงครามโลกครั้งที่สามคนในประเทศจีนเลยล้มตายเป็นเบือจากการปั่นกระแสของฝั่งเกาหลีและอเมริกา เหตุการณ์นั้นส่งผลกระทบครั้งใหญ่ให้กับประเทศจีน และการตอบกลับของจีนก็ทำให้ค่าเงินวอนผันผวนเกินควบคุมจนอเมริกาต้องยื่นมือเข้ามาช่วย สภาวะตึงเครียดของประชาชนต่างสร้างความอึดอัดแผ่กระจายไปทั่วตั้งแต่เมืองหลวงยันขอบชายแดน ทุกคนใช้ชีวิตเหมือนปกติแม้ในใจจะรู้ว่าอาจจะเกิดการฆ่าล้างบาง ถูกชักจูง และหลอกใช้จากภาครัฐเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

เหมือนกับระเบิดเวลาที่รอวันระเบิด

ผมตื่นตอนเก้าโมงเช้า วันนี้เข้างานช่วงบ่ายสามลากยาวไปจนถึงตีหนึ่งครึ่ง  

Daniel : ตื่นยัง?

Daniel : กินข้าวกัน

เพราะว่าทำงานเป็นกะ เช้าบ้าง บ่ายบ้าง กลางคืนบ้างดังนั้นการจะมีเพื่อนนั้นที่จังหวะชีวิตมันตรงกันจึงไม่ง่าย ถ้าถามถึงเพื่อนก็จะมีก็แต่คนที่ทำงานเป็นกะเหมือนกัน ซึ่งในตำแหน่งนี้คนที่กะตรงกับผม 100% ก็มีแค่คนเดียว - แดเนียล

ผมหยิบมือถือขึ้นมาอ่านข้อความ เลือกที่จะไม่ตอบ รอสักประมาณสิบโมงค่อยตอบทีเดียว

Daniel : หาย

Read

Jihoon : เออๆ เที่ยงร้านเดิม

Daniel : เยี่ยม

ผมเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นประจำใกล้ที่ทำงาน ทุกอย่างถูกจัดแจงด้วยหุ่นยนต์ เกาหลีตอนนี้ถูกพัฒนาจนมี A.I. ที่สามารถทำงานระดับล่างแทนมนุษย์ได้เกือบหมดแล้ว ถึงจะสะดวกสบายแต่กลับขาดชีวิตชีวา ภายในร้านแม้จะเอาต้นไม้มาประดับตกแต่งก็เป็นเพียงการจัดฉากให้ดูร่มรื่น ไม่อาจซ่อนกลิ่นเน่าเหม็นของสงครามให้มิดได้

ไม่นานนักอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟด้วยหุ่นยนต์ เป็น A.I ที่มีแค่ถาดติดกับขาที่เป็นล้อหมุน เมื่อหยิบอาหารเสร็จแล้วเจ้า A.I ก็เดินกลับไปที่ห้องครัว จะใช้คำว่าเดินก็ดูออกจะมนุษย์ไปเสียหน่อย แต่ก็คงเดินนั้นแหละ

“จีฮุน คืนนี้ลองแฮ๊กระบบโซเชี่ยลมีเดียหน่อยสิ เมื่อวานอ่านข่าวว่าท่านนายกมีเรื้องชู้สาว ถ้าเรื่องนี้จริงมีหวังแย่แน่”

“อ่า ได้”

พูดจบแล้วผมก็รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาที่อาหารของผม

“ข้าวจีฮุนน่ากินเหมือนเดิมเลย ฮิฮิ”

ผมถอนหายใจพลางหักตะเกียบไม้สังเคราะห์  ขยับจานไปทางแดเนียลเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่า ทานได้นะ เพราะไม่อยากต้องถูกมองด้วยสายตาของหมาจ้องอาหาร แดเนียลยิ้มแล้วก็หยิบซูชิของผมมากินอย่างสบายใจ

ในโลกที่ไร้ชีวิตชีวา แดเนียลเป็นเหมือนสิ่งแปลกแยกที่มีพฤติกรรมประหลาด ยิ้มแย้ม ร่าเริง กระฉับกระเฉง เป็นเหมือนคนจากยุคเก่า ถึงอย่างนั้นการมีตัวตนของแดเนียลทำให้บรรยากาศร่มรื่นกว่าต้นไม้จริงที่ดูปลอมพวกนั้นเสียอีก รอยยิ้มจริงใจ เสียงหัวเราะแบบลืมตัว บางทีก็ส่งสายตาหวานเชื่อมแบบไม่มีเหตุผล จริงจังกับเรื่องเล็กน้อยๆและหัวเราะให้กับเรื่องน่าเบื่อ

ผิดกับตัวผม

ถูกกลืนกินด้วยระบบแต่ก็ยังเกลียดมันเข้าไส้ ยิ้มครั้งสุดท้ายคือตอนที่รู้ว่าได้งานผู้ดูแลระบบเพราะได้ค่าตอบแทนจำนวนมาก ระบบทุนนิยมที่น่าเบื่อได้กัดกินผมทีละน้อย พยายามหาเงินมาเพื่อดูแลคุณแม่แต่ไม่นานหลังจากที่ยื้อดูแลมาอย่างสุดกำลัง ถึงขนาดใช้วิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดและสวัสดิการจากหน้าที่การงานก็ไม่อาจรักษาท่านเอาไว้ได้ ท่านเสียไปเมื่อสองปีก่อน แล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะทำงานไปเพื่ออะไร กลายเป็นร่างไร้วิญญาณที่หายใจทิ้งไปวันๆ กลมกลืนไปกับหมอกสีเทาของเมืองที่ไร้ชีวิต

บางทีเจ้า A.I. ล้อหมุนยังดูมีชีวิตชีวามากกว่าผมเสียอีก

“สัปดาห์หน้าจะกลับสิงคโปร์นะ อยากได้ของฝากอะไรมั้ย”

“ไม่ล่ะ แต่ถึงยังไงก็ซื้อมาอยู่ดีไม่ใช่หรอ”

“นั้นน่ะสิ ก็เพื่อนคนสำคัญนิหน่า”

เพื่อน สิ่งที่หาได้ยากยิ่งในสังคมแบบนี้ แต่คนตรงหน้ากลับมอบมันให้ได้อย่างง่ายดาย การเป็นเพื่อนคือการแลกเปลี่ยนข้อมูล ในยุคของสงครามโลก ข้อมูลคือกระสุนปืนไว้ฆ่าคน ถึงอย่างนั้นแดเนียลก็ยังคงมอบกระสุนปืนมาให้ฟรีๆ ไม่ระแวดระวังใดๆ ผมสามารถยิงเขาให้ตายได้ง่ายๆเพียงแค่เอาข้อมูลไปเผยแพร่ แต่เขาก็คงเป็นประเภทไม่ยี่หระ ยิ้มให้กับความตายอย่างจริงใจ

น่าอิจฉา

แดเนียลกลับไปจ้วงข้าวหน้าเนื้อตรงหน้าของตัวเอง กินไปเล่นมือถือไป พวกเราเป็นเพียงสองคนที่อยู่ในร้านที่นั่งโต๊ะคู่ แอบอายบ้างตอนแดเนียลเผลอหัวเราะเสียงดัง ก็เพราะทุกคนในร้านนั่งกินเงียบๆที่โต๊ะเดี่ยวโดยไม่ส่งเสียงอะไรเลย


2

“จีฮุนเคยมีแฟนมั้ย”

ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่แน่ใจว่าคำถามนี้มาในรูปแบบไหน คุกคามหรือว่าสงสัย แต่ฟังจากน้ำเสียงและแววตาเหมือนจะไม่ใช่ทั้งคู่ น่าจะเป็นแค่การพูดอะไรขึ้นมาแก้เบื่อในมากกว่า

ในช่วงสงครามแบบนี้ ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวเป็นเรื่องหายากยิ่ง อัตราการเกิดของประชากรเหลือเพียง 20% เมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อนสงคราม

เพราะความรักนำพาให้เข้าสู่หายนะ

พิษร้ายที่รุนแรงกว่ามิตรภาพ เพราะเมื่อรักก็อยากรู้จัก เมื่อรู้จักก็อยากพูดคุย พอพูดคุยก็ได้สนิทชิดเชื้อ แลกเปลี่ยนเรื่องราวทั้งดีและร้าย สุดท้ายเรื่องราวเหล่านั้นก็ย้อนกลับมาทำลายกันเอง คู่รักหลายคู่ทำร้ายกันด้วยพิษรักแรงหึง ความไม่เข้าใจ และความไม่เชื่อ เคยมีเคสที่เลวร้ายขนาดขายข้อมูลให้ประเทศฝั่งตรงข้ามจนเกิดเป็นความขัดแย้งมากมายมาแล้ว

ความรักเลยเหมือนฟองสบู่ ควบแน่นจนเป็นทรงกลม วิ่งวนลอยบนอากาศ และแตกกระจายเป็นหยดน้ำไร้ค่าเหลือเพียงสารเคมีที่ถูกเช็ดทิ้งแบบไม่ใยดี

“ไม่เคยหรอก วันๆก็ทำแต่งาน”

“งั้นหรอ”

“แต่เราเคยมีนะ”

พอเห็นว่าอีกฝ่ายยังยิ้มอยู่เลยรู้ว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แดเนียลเล่าเรื่องราวความรักให้ฟัง ได้ฟังแล้วก็ออกจะแปลกใจเพราะความรักมันคล้ายๆกับนิทานก่อนนอน สนุก สวยงามแต่ไม่มีอยู่จริง แดเนียลเล่าให้ฟังว่าเป็นตอนที่เขาคบกับผู้หญิงคนนึงตอนอยู่สิงคโปร์ ความรักของเด็กมหาลัยดาษๆทั่วไป เรื่องราวมีจุดดราม่าตรงที่เธอเป็นคนจีน และเมื่อสงครามเริ่มเข้มข้นขึ้น เธอต้องกลับประเทศไป

ตลอดระยะเวลา 3 ปี แดเนียลไม่ค่อยเปิดเผยเรื่องส่วนตัวมากนักซึ่งผมเองก็เช่นกัน แต่ระยะหลังๆมานี้เหมือนกับเขาเริ่มที่จะพูดเรื่องของตัวเองมากขึ้น แม้ใจนึงจะรู้สึกดีที่ได้รับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายแต่ใจนึงก็รู้สึกว่าระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาเราช่างเหมือนคนแปลกหน้ากันเหลือเกิน  

“แม้แต่คนที่ชอบก็ไม่มีหรอ”

แดเนียลถามผมกลับมาตาใสหลังจากที่เล่าเรื่องของตัวเองจบ

ชอบหรอ

ความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นยังไงผมเองก็อยากรู้ มันใกล้เคียงกับที่ผมชอบกินซูชิมั้ยหรือคล้ายกับตอนที่ผมดูหนังเรื่องโปรด พลันก็เผลอไปสบตาหวานเชื่อมไร้เหตุผล ใบหน้ายิ้มแย้ม ตายิ้มเป็นสระอิ ฟันกระต่ายคู่หน้า ไฝใต้ตา มองกี่ทีก็ไม่ชิน ไม่ชินเลยจริงๆ

“แค่ถามถึงคนที่ชอบเอง จีฮุนหน้าแดงเลยหรอ”

บ้าจริง

“ทำงานสักทีเหอะ” ผมพูดพลางทำเป็นมองหน้าจอกลบเกลื่อน ตัดบทสนธนาที่ไร้ความหมาย

“คร้าบๆ”

อยากโฟกัสกับงานที่อยู่ตรงหน้า แต่คำถามของแดเนียลกลับรบกวนสมองไม่หยุด ใช้ชีวิตมา 27 ปีโดยที่ไม่มีความรัก ฟังดูออกจะโหดร้ายแต่มันก็เหมือนเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วในยุคนี้ กินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว

คำที่เหมือนจะถูกเลิกในใช้ในยุคสมัยนี้เหมือนจะอธิบายความรู้สึกนี้ได้ดี เหงา

ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลยจนวินาทีเมื่อกี้ ไม่เคยรู้สึกเหงาเลย ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว น่าประหลาดนัก น่าประหลาดจนน่ากลัว ก่อนหน้านี้ยังโอเคอยู่เลยแล้วทำไมตอนนี้กลับรู้สึกหนักอึ้ง หนักแต่ว่างเปล่า เหมือนโดนใครสักคนเอากรรไกรมาตัดตรงหัวใจแล้วพบว่าข้างในมันถูกบรรจุด้วยก้อนหิน

เหงาจริงๆ

“กาแฟมั้ย”

แดเนียลพูดขณะกำลังบิดประตูออกไป ผมพนักหน้าหนึ่งทีเป็นนัยว่าเอาด้วย  ผ่านไปประมาณ 10 นาทีกาแฟอุ่นๆรสชาติไม่อร่อยก็มาเสิร์ฟตรงหน้า ไม่อร่อยเลยจริงๆให้ตายเถอะ

หวานนำแล้วก็ขมตาม รสชาติตัดกันจนแปลกประหลาด แต่ความอบอุ่นของรสชาติแปลกประหลาดนี้กลับเติมเต็มอะไรสักอย่าง พอได้ลองจิบทีละนิดก็เหมือนมันเติมเต็มเข้ามาทีละน้อย เพราะอะไร ไม่เข้าใจ

“อร่อยมั้ย เอาจริงๆเผลอใส่น้ำเยอะไปแหละ ฮาฮ่า”

หัวเราะอีกแล้ว หัวเราะทำไม

ทำไมความเหงาก็ค่อยๆหดเล็กลง เพราะเสียงหัวเราะงั้นหรอ

คนตรงหน้าทำได้ยังไง ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย ไม่เคยเลย นี่มันอะไรกัน รอยยิ้มพวกนี้ก็ได้รับมาตลอดสามปี เสียงหัวเราะแบบนี้ก็เหมือนกัน ทุกอย่างมันเหมือนเดิม อะไรที่ต่างออกไป

เพราะกาแฟรึเปล่า?

มียาพิษ?

ไม่เข้าใจ?

หลังจากเติมคาเฟอีนเข้าร่างกาย ก็กลับมาโฟกัสกับงานตรงหน้า จัดการหาเรื่องชู้สาวของนายกที่แดเนียลพูดไว้เมื่อตอนกลางวัน ใช้เวลาราวๆ 3-4 ชั่วโมงก็พบว่าข่าวเป็นเรื่องจริง ซึ่งถือว่าโชคร้ายเพราะมีสิทธิ์ที่จะถูกนำไปเผยแพร่สูง ยิ่งคนสำคัญระดับประเทศด้วยแล้ว ยิ่งน่ากลัว

ร้ายแรงถึงขนาดที่อาจจะเป่าบางส่วนของเกาหลีให้หายไปในพริบตา

“ที่บอกมาเป็นเรื่องจริงด้วย มาดูสิ”

แดเนียลลุกขึ้นมาแทบจะทันที

“ว่าแล้วเชียว

สีหน้าของแดเนียลเปลี่ยนไป ดูจริงจังที่สุดตั้งแต่ผมเคยเห็นมา แต่ก็เป็นเพียงแค่แว่บเดียวก่อนจะหันกลับมายิ้มสดใส แดเนียลไม่พูดอะไรต่อจากนั้นและกลับไปนั่งที่เดิม

ผมจ้องมารูปภาพนายกคนปัจจุบันกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นชู้ของเขา ภาพมาจากกล้อง CCTV ตอนกลางคืน ทุกอย่างค่อนข้างมืดแต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ก็ทำให้สามารถมองออกได้ระดับหนึ่ง แม้แต่คนใหญ่คนโตของประเทศก็คงรู้สึกเหงาสินะ แม้แต่คนที่มีคนรักเป็นของตัวเองก็รู้สึกสินะ ผมได้แต่คิดแบบนั้น


3


สัปดาห์ที่ผ่านแดเนียลดูเหมือนเดิม เหมือนเดิมจนแปลก เหมือนเดิมจนน่าสงสัย อาจจะเพราะผมทำหน้าที่เก็บข้อมูล รายละเอียดเล็กน้อยของคนใกล้ตัวก็เลยถูกจับตามองอยู่เช่นกัน

“พรุ่งนี้จะบินแล้วใช่มั้ย”

“อืม”

“เป็นอะไรรึเปล่า”


แดเนียลไม่ตอบ คลี่ยิ้มบางๆก่อนจะกลับไปกดที่คอมพิวเตอร์ตัวเอง เนื่องจากอากาศในห้องค่อนข้างหนาว ผมเลยออกจากห้องเพื่อเข้าห้องน้ำ

ถ้าชงกาแฟไปหมอนั้นจะดีใจมั้ยนะ

พอคิดแบบนั้นก็เลยตรงไปทางห้องครัว พยายามกะปริมาณของกาแฟ นมสด และน้ำตาล ใส่น้ำแค่พอเหมาะ ชิมแก้วของตัวเองก่อนแล้วค่อยชงแก้วถัดไปเพื่อความสมบูรณ์แบบ

ใช้มือหนีบแก้วมัคสองแก้วอย่างเบามือ ออกจะทุลักทะเลเล็กน้อย น่าจะเป็นครั้งแรกที่ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่น กาแฟรสชาติห่วยๆสามารถเติมเต็มผมได้ งั้นกาแฟรสดีอันนี้ก็น่าจะทำได้เช่นกัน

แต่ผมก็ต้องหยุดชะงัก

ผมมองเพื่อนสนิทกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ที่หน้าจอของผม ท่าทีลับๆล่อๆ ใบหน้าของหมอนั้นจริงจังมากเหมือนกับตอนที่อ่านข่าวชู้สาวของนายกเมื่อสัปดาห์ก่อน

เหมือนไม่ใช่แดเนียล

ผมผลักประตูกระจกออกช้าๆแต่ก็ยังคงเกิดเสียง แดเนียลหันควับมาทันที ใบหน้าตื่นตระหนก ทำไมทำหน้าแบบนั้นกันล่ะ?

“อ่า”

หมอนั้นยืนอยู่ด้านหน้าคอมพิวเตอร์ของผม พอลองสังเกตก็พบว่าในมือถือแฟลชไดร์ฟ หมอนั้นไม่ได้ยิ้มกลับมาเหมือนทุกที

“มันจำเป็นน่ะ”

ผมไม่ได้ตอบอะไรและไม่รู้ด้วยว่าจะพูดอะไร

“กาแฟหรอ” หมอนั่นถาม

ผมพยักหน้า

แดนหยิบกระเป๋าเป๋ขึ้นมาก่อนจะเดินมาทางผม หยิบกาแฟแล้วกินเข้าไปหนึ่งอึก ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ

“อร่อยนะ”

ตอนนั้นไม่รู้ว่าคาดหวังคำตอบแบบไหน ได้แต่สงสัยว่าผมทำหน้าแบบไหนอยู่นะ?

แดเนียลยืนอยู่ตรงหน้าผมนี่เอง เพราะความต่างของส่วนสูงผมเลยเงยหน้ามองคนตรงหน้า ภาพของผมที่สะท้อนในแววตาของเขามันดูกังวล กระอักกระอ่วน และสับสน

“จะกลับมามั้ย”

ไม่รู้ว่าถามเพราะอะไร พรุ่งนี้แดเนียลจะกลับสิงคโปร์ ผมรู้สึกแค่ว่าเขาอาจจะไม่กลับมา

“ไม่ล่ะ ไม่น่าจะได้กลับมาแล้ว”

“หรอ

“จีฮุนรู้มั้ยว่าคนสิงโปร์ส่วนมากมีเชื้อสายจีนนะ”

นั้นสินะ

มองข้ามไปได้ยังไง เข้าใจแล้ว แดเนียลพูดได้สามภาษา ภาษาจีนคือหนึ่งในนั้น คนสิงโปร์ส่วนมากจะมีเชื้อสายจีน แดเนียลเองจะมีเชื้อจีนด้วยก็เป็นเรื่องธรรมดา มองข้ามเรื่องเล็กน้อยขนาดนี้มาตลอดสามปี ผมนี่มันไร้วิญญาณอย่างแท้จริง นั้นหมายความว่าเขาเข้ามาเพื่อนจะหาข้อมูลแต่แรกและเขาก็ได้มันไปแล้ว อืม

เรายืนกันเฉยๆ ให้ความรู้สึกติดค้างมันเกาะแน่นราวกับปมบนเชือก

“จะเกิดสงครามมั้ย” ผมถาม

“คงเกิดแหละ แล้วก็อาจจะเป็นเมืองนี้”

ผมได้แต่นิ่งเงียบ

เขาก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รอยยิ้มพวกนั้นคือของปลอมงั้นหรอ สิ่งที่ผมเชื่อมาตลอดว่าเป็นชีวิตในเมืองสีเทากลับเป็นสิ่งปรุงแต่ง แล้วทำไม แล้วทำไม รอยยิ้มที่ไร้ความหมายมันถึงยังกลับทำให้ใจผมพองโต ทำไมเขายิ้มแบบนั้น

เขายิ้มกลับมาทำไม

แดเนียลลูบหัวผมเบาๆ ยิ้มสุดท้ายไม่ใช่ยิ้มที่เต็มไปด้วยความสดใส ไม่ใช่ยิ้มอ่อนตอนเหนื่อยล้า เป็นเพียงแค่อะไรสักอย่าง สักอย่างที่คล้ายกับรสกาแฟห่วยๆ ขมและหวาน รสชาติไม่ได้เรื่องแต่กลับเติมเต็ม

“ไม่รู้ว่าจะเชื่อมั้ย แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา สนุกมากเลยนะ”

แดเนียลออกจากห้องไป พูดอะไรสักอย่างเป็นภาษาจีนที่ผมเคยได้ยินก่อนหน้านี้ ตอนที่ประตูห้องทำงานปิดลงตอนนั้นเองประตูความรักของผมกลับเปิดออก ชายหนุ่มที่ชื่อแดเนียลนั้นผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาเป็นใคร ท้ายที่สุดนิสัยเป็นยังไงผมเองก็ไม่อาจรู้ได้

เขาปล่อยให้ผมอยู่กับความสงสัย ความสับสน ความว่างเปล่า แล้วก็ความรัก

ผมได้เจอกับความรัก

ถ้าเบื้องหน้าคือความตาย ถ้าสงครามได้บังเกิด ถ้าทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่เกมส์การเมือง ถึงอย่างนั้น ถึงอย่างนั้นผมก็ได้เจอกับความรัก

เศษเสี้ยวชิ้นส่วนของชีวิตแล้ว

是我的世界” ผมทวนที่แดเนียลพูดในห้องที่ว่างเปล่ากับไฟฟลูโอเรสเซ้นโดยที่ไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร










ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม